ปฐมบทแห่งทัพ “ช้างศึก” ทีมชาติไทย ยุคใหม่ หากมองภาพรวมเหล่าบรรดานักเตะของทัพ “ช้างศึก” ทีมชาติไทย ชุดนี้ ถือได้ว่าทำผลงานได้ดีในระดับหนึ่งเลยก็ว่าได้ ไม่ว่าจะเป็นเกมรับที่ทำผลงานได้ดีขึ้น รวมไปถึงผู้เล่นหน้าใหม่ที่สามารถโชว์ฟอร์มการเล่นได้ดีพอสมควร และหนึ่งในนั้น ก็คือ พรรษา เหมวิบูลย์ นักเตะตำแหน่งกองหลังอนาคตใหม่ของ ทีมชาติไทย พรรษา เหมวิบูลย์ ชื่อเล่นว่า “โย่ง” เกิดเมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม 2533 ภูมิลำเนาเป็นชาวจังหวัดจันทบุรี ด้วยทางครอบครัวมีฐานะยากจน ทำให้ พรรษา เหมวิบูลย์ ต้องศึกษาในโรงเรียนวัดมาโดยตลอด ไล่มาตั้งแต่ช่วง อนุบาล 1 ถึง ประถมศึกษา ชั้นปีที่ 3 กับโรงเรียนวัดโบสถ์บางกระจัก ต่อด้วยช่วงประถมศึกษา ชั้นปีที่ 4 ถึงประถมศึกษา ชั้นปีที่ 6 กับโรงเรียนวัดสิงห์ และสถานที่เหล่านี้ ได้เป็นจุดเริ่มต้นการเล่นกีฬาฟุตบอลของ พรรษา เหมวิบูลย์ ซึ่งเจ้าตัวได้เริ่มเล่นกีฬาฟุตบอลแบบจริงจังเมื่อประมาณ อายุเพียง 9 ขวบ หลังจบประถมศึกษา ชั้นปีที่ 6 พรรษา เหมวิบูลย์ ได้เข้าศึกษาต่อที่โรงเรียนเบญจมานุสรณ์ จังหวัดจันทบุรี ด้วยความที่ พรรษา เหมวิบูลย์ เก่งกาจเชิงลูกหนังส่วนหนึ่งทางครอบครัวของเขาได้ให้การสนับสนุนมาตั้งแต่ พรรษา เหมวิบูลย์ ยังเด็ก ๆ ทำให้เจ้าตัวติดเป็นผู้เล่นของทีมจังหวัดจันทบุรีอยู่เป็นประจำ กระทั่งวันหนึ่ง พรรษา เหมวิบูลย์ ลงแข่งขันเกมอุ่นเครื่องกับโรงเรียน กรุงเทพคริสเตียน เขานั้นได้โชว์ฟอร์มการเล่นได้ดี จนเข้าตาผู้ฝึกสอนของโรงเรียนกรุงเทพ คริสเตียน ถึงถูกชวนให้เข้าร่วมทีม และศึกษาอยู่ที่โรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนตั้งแต่ชั้นมัธยมศึกษา ปีที่ 4 ถึงมัธยมศึกษา ปีที่ 6 นอกจากจะเป็นการเติมความฝันของ พรรษา เหมวิบูลย์ ที่อยากเข้ามาลงสนามแข่งขันในเมืองหลวงแล้ว พรรษา เหมวิบูลย์ ยังมีความรู้สึกภูมิใจที่ได้แบ่งเบาภาระของครอบครัวโดยที่ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการเล่าเรียน จากนั้น พรรษา เหมวิบูลย์ ก้ได้ใช้ความสามารถของตัวเองเข้ามาศึกษาในระดับชั้นอุดมศึกษา ที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในโควตา “ช้างเผือก” และมีโอกาสเริ่มเล่นฟุตบอลอาชีพกับ จามจุรี ยูไนเต็ด ในดิวิชั่น 2 ในวัยเพียงแค่ 21 ปีเท่านั้น และทำให้ พรรษา เหมวิบูลย์ มีความภาคภูมิใจยิ่งกว่าเดิม เมื่อเงินเดือน เดือนแรกที่เขาได้รับประมาณหนึ่งหมื่นกว่าบาท พรรษา เหมวิบูลย์ ได้มอบให้กับคุณพ่อ คุณแม่ ของเขาได้นำไปใช้จ่ายในชีวิตประจำวันของครอบครัวในทันที พรรษา เหมวิบูลย์ โชว์ฟอร์มการเล่นได้อย่างแข็งแกร่งกับ จามจุรี ยูไนเต็ด ก่อนที่ในปี 2014 พรรษา เหมวิบูลย์ จะถูก ทีโอที เอฟซี จะคว้าตัวไปร่วมทัพ ก้าวจากลีกภูมิภาค สู่ลีกสูงสุดครั้งแรก และ พรรษา เหมวิบูลย์ ได้อยู่กับทีมได้เพียง 2 ปี ในฤดูกาล 2016 พรรษา เหมวิบูลย์ ได้ย้ายไปอยู่กับสโมสรขอนแก่น ยูไนเต็ด ทีมน้องใหม่ในดิวิชั่น 1 แต่ว่าต้องเผชิญกับช่วงเวลาที่ไม่คาดคิด เมื่อทีมถูกระงับสิทธิ์กลางครัน แต่ฟ้าหลังฝนย่อมสวยงามเสมอ เมื่อก่อนเปิดฤดูกาล ปี 2017 เขาได้รับโอกาสสำคัญที่สุดในชีวิต หลังจากที่ได้ถูกทีมยักษ์ใหญ่อย่าง สโมสรบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ต่อสายตรงและได้ดึงไปร่วมทัพแบบไม่น่าเชื่อ จากการมุ่งมั่นทำงานอย่างหนัก เพียงแค่การแข่งขันนัดที่ 2 ของฤดูกาลพรรษา เหมวิบูลย์ ก็ได้ออกสตาร์ทเป็นตัวจริงในนัดแรกให้กับ สโมสรบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ไม่น่าเชื่อว่า แนวรับโนเนมอย่าง พรรษา เหมวิบูลย์ จะกลายเป็นหนึ่งในกองหลังตัวหลักภายใต้ระบบแนวรับ 4 ราย และ 3 ราย พรรษา เหมวิบูลย์ ได้ลงสนามแข่งขันไปทั้งหมด 13 นัด จาก 16 เกมแรก ก่อนถูกหัวหน้าผู้ฝึกสอนคนใหม่ของทีมชาติไทย เรียกติดทัพ “ช้างศึก” ทีมชาติไทย เป็นครั้งแรก
อย่างไรก็ตาม แม้ว่า พรรษา เหมวิบูลย์ จะมองว่าโอกาสจะเข้ามาเร็วแต่เขาก็ไม่ปล่อยให้มันผ่านไป เมื่อตลอดการเก็บตัว เขาก็ได้ทำให้เห็นว่าเขานั้นมีความมุ่งมั่นทำงานหนัก และเจ้าของส่วนสูง 190 ซม. มีจุดเด่นในการอ่านเกมที่แม่นยำ โดดเด่นลูกกลางอากาศ จนสามารถพิชิตใจหัวหน้าผู้ฝึกสอนทีมชาติไทยได้สำเร็จ ติดเป็น 22 ขุนพล เดินทางไปอุ่นเครื่องกับ ทีมชาติอุซเบกิสถาน และที่สำคัญยังได้รับโอกาสให้ออกสตาร์ทเป็นตัวจริงลงสนามแข่งขันครบ 90 นาที ถึงแม้ว่าสุดท้ายแล้ว ทีมชาติไทย จะพ่ายแพ้ไปด้วยสกอร์ 2-0 ประตู แต่พรรษา เหมวิบูลย์ ก็ได้เป็นผู้เล่นที่ได้รับคำชมมากที่สุด